[Full Review] ปิล็อค-สังขละบุรี ขับขี่ไปกับ Royal Enfield Himalayan


จากขุนเขาน้อยใหญ่ ห่างออกไปไม่ไกล เมืองเล็กๆเมืองนึง ที่มีน้อยคนจะเข้าถึง
นามว่า บ้านอีต่อง-ปิล็อค อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี อากาศที่นี่เย็นตลอดทั้งปี
ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ที่ได้รับเลือกให้ทดลองขับขี่กับ Himalayan ในตำนาน
ต้องขอบคุณทีมงาน Royal Enfield ที่ให้โอกาสได้มาเข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ด้วยครับ

"Himalayan" ชื่อนี้ถูกถอดมาจากเทือกเขา หิมาลัย แน่นอนว่ามันถูกออกแบบมา
ใช้งานเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปอุปสรรคหลากหลาย
ไม่ว่าจะทางดินลูกรัง หรือทางดำติดฝุ่น ดูเอนกประสงค์สมชื่อจริงๆ


Royal Enfield Himalayan ตัวนี้ ถูกออกแบบมาในสไตล์ Classic Touring Adventure
มากับเครื่องยนต์ 1 สูบ ขนาดกระบอกสูบ 411cc. SOHC ระบบหัวฉีด
มีออยคูลเลอร์ในการช่วยระบายความร้อนของน้ำมันเครื่อง น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 191 kg (wet weight)


ระดับความสูบจากพื้นถึงเบาะอยู่ที่ 800 mm ตัวผู้ขับขี่สูง 175 cm ขาสองข้างพอดีพื้น ไม่มีเขย่ง เบาะนั่งนุ่มสบาย ตั้งแต่ขับมายังไม่มีออกอาการเมื่อยให้เห็นเลย


เบาะคนซ้อน ก็ยังนั่งได้สบายๆ ตำแหน่งพอดี ไม่มีเบียด


แฮนด์กว้าง ควบคุมง่าย ดีไซน์ไฟหน้ากลม คลาสสิคตามสไตล์ ชิวหน้าสูงระดับอก
ช่วยลดแรงปะทะลมขณะขับขี่ได้เยอะเลยทีเดียว


ในส่วนของหน้าปัด ถูกออกแบบมาได้อย่างมีเอกลักษณ์และโดดเด่น
ค่อนข้างครอบคลุมทั้งตัวบอกอุณหภูมิ นาฬิกา เกียร์ วัดรอบ เกจน้ำมัน ไฟสัญญาณต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีเข็มทิศเพิ่มมาให้ด้วย


ส่วนควบคุมแฮนด์ซ้าย-ขวา ปกติทั่วไป ตำแหน่งใช้งานง่าย สังเกตว่ามีคันโยกด้านบน
คือ โช๊ค มาให้ด้วย ใช้กรณีเครื่องเย็นให้ดึงโช๊คตอนสตาร์ท พอรอบเครื่องเริ่มเข้าที่ เครื่องเริ่มร้อนค่อยปิด


ขนาดยางด้านหน้า 90/90 - 21 นิ้ว ด้านหลัง 120/90 - 17 นิ้ว
ระบบดิสก์เบรกด้านหน้าจานเบรกเดี่ยวขนาด 300mm และด้านหลัง 240mm
พร้อมด้วยยาง Pirelli MT60


ตำแหน่งตัวท่อยกสูง ดูแล้วสามารถลุยน้ำได้ระดับนึง ให้เสียงทุ้มนุ่มๆแบบไม่รำคาญหู
นอกจากนี้ตำแหน่งยังง่ายต่อการเปลี่ยนยางอะไหล่ด้วย


ถังน้ำมันความจุอยู่ที่ 15 ลิตร อัตราการกินน้ำมันอยู่ที่ราวๆ 28-30 กิโลลิตร ถือว่าประหยัดสุดๆ
ทรงถังดูเพียวรับกับสรีระ ขาหนีบถังได้อย่างพอดี


ในส่วนของไฟท้ายเป็น LED แถมมีแลคหลังติดมาให้พร้อมจากโรงงาน


นอกจากนี้ ในตัว Touring Edition มีติดตั้งปี๊บข้างมาให้แบบสวยงาม แข็งแรงทนทาน น่าใช้เลยทีเดียว

ลงรายละเอียดตัวรถกันไปคร่าวๆแล้ว คราวนี้เรามาพูดถึงการขับขี่กันบ้าง
แรกเริ่มเดิมที Freeman เคยลองขับขี่แบรนด์นี้รุ่นก่อนๆ ในสนามมาสั้นๆ
รู้สึกว่าทำไมแฮนด์มันสั่นสะท้านขนาดนั้น ขับได้แป๊บเดียวมือชา
แต่ต้องบอกว่าไม่ใช่เลยสำหรับเจ้า Himalayan ตัวนี้!



โดยเส้นทางที่เราใช้ทดสอบ เริ่มต้นจาก หมู่บ้านอีต่อง สู่ อ.สังขละบุรี
โดยช่วงแรกๆ จะเป็นทางดำที่ลัดเลาะไปด้วยโค้งมากมาย และบางช่วงของถนนมีหลุมอยู่เป็นช่วงๆตลอดทาง สัมผัสแรกที่ขับ กลับรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวล ผิดคาดจากที่คาดไว้
การสั่นสะเทือนที่เคยเจอในรุ่นก่อนๆ แทบไม่พบในตัวนี้เลย ด้วยการปรับเปลี่ยนและพัฒนา
เครื่องยนต์ LS410 รุ่นใหม่ ที่ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ ทำให้มีการขับขี่ที่ราบรื่น แม้ว่าจะเลือกใช้เกียร์สูงในย่านความเร็วต่ำ ง่ายต่อการขี่ขึ้นเขาหรือแม้แต่ขับขี่ลัดเลาะผ่านการจราจรในเมืองก็ไม่มีปัญหา

การเข้าโค้งด้วยยางกึ่งวิบาก Pirelli MT60 ช่วยในการยึดเกาะถนนได้อย่างดี บวกกับจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ เจอหลุม เจอเนินตามเส้นทางบ้าง ก็ยังสามารถซับแรงกระแทกได้อย่างดี


จากการขับขี่ในทางฝุ่น ที่เส้นทางเป็นหินดินทรายสลับกันเป็นระยะ
ทดสอบแล้วช่วงล่างสามารถซับแรงกระแทกได้อย่างดี
ตำแหน่งตัวถังถูกออกแบบมาได้เหมาะเจาะรับกับสรีระ ท่วงท่าการยืนขับขี่ก็ทำได้ง่าย
แต่ในจังหวะที่บีบเบรคแรงๆ
อาจมีเขวๆไปบ้าง แต่ก็สามารถควบคุมสมดุลกลับมาได้แบบไม่ยากเย็น


ระบบเกียร์ 5 Speed ให้กำลังสูงสุดในรอบเครื่องที่ต่ำ ให้แรงม้ามาสูงสุดที่ 24.5 BHP ที่ 6,500 รอบ การขึ้นลงเนินใช้เกียร์ 2-3 ไปได้แบบสบายๆ ในส่วนของ Top speed เท่าที่ทำได้อยู่ที่ 130 km/hr หากแต่อัตราเร่งช่วงปลายอาจดูเอื่อยๆไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับใครที่ชอบไปแบบสบายๆไม่เร่งรีบ


สรุปสำหรับเจ้า Himalayan ตัวนี้ สำหรับรถเดิมๆทำได้ในระดับนี้ ถือว่าที่ดีงามกว่าที่คิด
ช่วงล่างที่ซับแรงกระแทกได้อย่างนุ่มนวล อาการสะท้านสะเทือนไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
ติดปัญหาในเรื่องความเร็วปลายไปบ้าง ที่ดูไม่จัดจ้าดเท่าไหร่
แต่ด้วยสไตล์รถ และลักษณะการใช้งาน ที่เน้นลุยในทางเนินทางชันก็เหมาะสมอยู่
เน้นขับหล่อๆ ให้คนมอง ดีกว่ารีบแล้วนอนกองให้คนเก็บนะฮะ

สำหรับเจ้า Himalayan ตัวนี้ เปิดราคาในรุ่น Street Edition ที่ 169,800 บาท
และ รุ่น Touring Edition ในราคา 186,300 บาท

รีวิวการขับขี่แบบคลิป








ความคิดเห็น