First Time with Triumph Bonneville Bobber


ขี่ทัวร์ริ่งมาซะนาน วันนี้เป็นโอกาสอันดี ได้มีโอกาสจับตัวพัน ในสไตล์คาเฟ่ ดูบ้าง
แต่ด้วยชุดขับที่มี ก็มีแค่เสื้อยืนส์กับหมวกใบเก่า อาจจะดูไม่เข้ากันเท่าไหร่
แต่ก็พอถูๆไถๆ ไปได้บ้างนิดๆละนะ

ทริปนี้เราออกเดินทางกันด้วย Triumph Bonneville Bobber
เอาจริงๆก็ถือเป็นครั้งแรก ที่ได้จับตัว 1000 cc ขึ้นแบบเต็มทริป
ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิด ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะฮะ


Triumph Bonneville Bobber มาด้วยขนาดเครื่องยนต์ 1200cc แบบ High Torgue ขนาดสองสูบ
ที่ให้แรงบิด 106NM@4000 Rpm/นาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 6 Speed
พร้อมด้วยระบบ Torque-Assist Clutch ที่ช่วยลดน้ำหนักก้านคลัชท์ให้สัมผัสที่นุ่มขึ้น
ช่วยลดอาการส่าย เมื่อต้องเชนจ์เกียร์หนักๆแบบต่อเนื่อง


ไฟหน้ากลมโตในสไตล์คาเฟ่ หลอดแบบ ฮาโลเจน 


ติดกระจกปลายแฮนด์ มองเห็นง่าย ก้านคลัชท์ปรับได้ 4 ระดับ
แผงควบคุมด้านซ้ายประกอบด้วย ไฟเลี้ยว แตร และ ปุ่ม i


ซึ่งปุ่ม i ตัวนี้จะทำหน้าที่แสดงข้อมูลในส่วนต่างๆ เมื่อกด 1 ครั้งก็จะแสดงผลแยกในแต่ละส่วน
อาทิ อัตราการสิ้นเปลือง, Trip 1, Trip 2, ระยะไมล์รวม, วัดรอบ, นาฬิกา
ระยะทางที่สามารถวิ่งได้/น้ำมันที่เหลือ
ในส่วนของไฟแสดงสถานะ ประกอบไปด้วย ไฟเตือนระยะเซอร์วิส, ไฟสถานะ Traction Control
พร้อมด้วยสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอย่าง Cruise Control และ Heated Grip


ก้านเบรคปรับได้ 5 ระดับ มาพร้อมกับคันเร่งไฟฟ้า
ในส่วนแผงควบคุมด้านขวา มีปุ่มควบคุมโหมดรถ เพิ่มเติมมา 2 โหมด
คือ Rain และ Road ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกการใช้งานให้เหมาะสมกับสภาพถนน


ในส่วนของไฟเลี้ยวและไฟท้ายจะเป็น LED


เบาะ Single Seat แบบลอย ทรงรับพอดีกับสรีระ สามารถปรับระดับได้


โช๊คหลังซ่อนเนียนๆ วางขวางใต้เบาะ


ในส่วนของถังน้ำมัน ความจุอยู่ที่ 9.1 ลิตร ฝาปิดแยกออกจากตัวถัง


ล้อซี่ลวด ขนาด 100/90 ดิสก์เบรคหน้าแบบเดียว ขนาด 310 mm Floating Caliper แบบสองสูบ 


ล้อซี่ลวด ขนาด 150/80 ดิสก์เบรคหลังเดี่ยว ขนาด 255 mm Floating Caliper แบบสองสูบ เช่นกัน


เบ้ากุญแจสตาร์ทเครื่อง จะอยู่ด้านข้างของตัวรถด้านขวา


ตำแหน่งท่านั่งของ  Bonneville Bobber คันนี้ ถือว่าเป็นรถที่ตำแหน่งไม่สูงนัก
ตัวผู้ขับสูง 175 cm. สามารถวางขาได้แบบสบายๆ 
จะติดในส่วนของแฮนด์บาร์ที่ดูจะห่างไปหน่อย ต้องใช้การโน้มตัวไปข้างหน้า
เพื่อให้ช่วงแขนไม่ตึงเกินไปขณะขับขี่ ซึ่งท่านี้ถ้าขับขี่นานๆ ก็ส่งผลให้ปวดหลังได้


ทันทีที่เริ่มสตาร์ทเครื่อง สัมผัสแรกที่ได้รับ คือเสียงท่อที่ดุดัน ให้ความทุ้มแน่น 
ชวนหลงใหล ส่วนตัวไม่ใช่สายลั่น แต่เท่าที่ขับมาก็ยังไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด

เมื่อเริ่มบิดคันเร่ง ก็สัมผัสได้ถึงทอคก์ที่ส่งแรงกระชากตัวได้อย่างหนักแน่นตั้งแต่รอบต่ำ
แต่ก็ยังคงการตอบสนองได้อย่างนุ่มนวล การเชนจ์เกียร์สามารถทำได้อย่าง Smooth
ถึงจะเชนจ์เกียร์หนักๆ ก็ยังไม่เสียอาการแต่อย่างใด


ด้วยสไตล์รถที่ออกแบบท่านั่งและเรือนไมล์มาต่ำ แน่นอนว่าลมปะทะตีตัวเต็มๆ
จากที่ทดลองบิดได้ 140 km/hr ก็แทบจะปลิวออกจากรถแล้ว
จึงดูไม่เหมาะกับการขับแบบเร่งรีบ ถึงแม้ตัวรถจะทำความเร็วได้สูงกว่า 185 km/hr

ด้วยการออกแบบที่มีการจัดวางจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยควบคุมรถได้ง่ายขึ้น
อาจไม่ถึงกับแบนโค้งได้หนักๆ แต่ก็จัดว่าทำได้ดี สามารถพลิกรถได้อย่างคล่องแคล่ว
การเร่งแซง ทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ เปิดคันเร่งเมื่อไหร่ เรียกได้ว่า "พุ่ง" แบบจัดเต็มจริงๆ

ในส่วนของการซับแรงกระแทก ยังคงไม่ดีเท่าไหร่นัก
เวลาขับมาเจอเนินหรือคอสะพาน จะพบอาการ "ลอย" บ้างในจังหวะที่มาด้วยความเร็วสูง
 ด้วยสไตล์รถที่ออกแบบมาในลักษณะนี้
เกรงว่าคงไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วเท่าไหร่ในถนนบ้านเรา

โดนส่วนตัวชอบตรงที่เวลาขึ้น-ลงเขา เอนจิ้นเบรคสามารถทำงานได้อย่างดี
 ไม่มีอาการสะดุดหรือกระชาก ทำให้รู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น



จากการทดลองวิ่งทริปนี้ จาก กทม.- ชลบุรี ใช้ระยะทางราวๆ 450 km
เติมน้ำมันไป 605 บาท (โซฮอลล์ 95 ณ วันที่เติมราคา 27.55 บาท/ลิตร)
ใช้ความเร็วยืนพื้น ขาไปราวๆ 80-120 km/hr
ขากลับ 100-140 km/hr คำนวนแล้วน่าจะกินน้ำมันราวๆ 20-22 km/ ลิตร

สำหรับเจ้า Triumph Bonneville Bobber โฉมใหม่นี้ ราคาอยู่ที่ 580,000 บาท
และ Triumph Bonneville Bobber Black ราคาอยู่ที่ 625,000 บาท

















ความคิดเห็น