China Trip Day 3-4 จิบชาและชมหยก ไปหมกตัวที่เขาอวตาร เดินเลียบทางกระจกที่ประตูสวรรค์ ชมฉากรักนิรันดร์นางพญาจิ้งจอกขาว


วันที่ 3 ของการเดินทาง
ช่วงเช้าอากาศเย็นสบาย ก็โดนพาไปนั่งฟังบรรยาย
กันที่ร้านชาก่อน ซึ่งรอบนี้ทางผู้บรรยายก็จะมีชาดำ
จากมณฑลหูหนาน อ้างสรรพคุณเรื่องสุขภาพ
ให้ได้ฟังกันอย่างเช่นเคย
ซึ่งราคาใบชาก็แพงใช่เล่นเลยทีเดียว
และ เหมือนทางร้านจะรู้ดี รอบนี้หนีไปเข้าห้องน้ำ
แล้วชิ่งไม่ได้ เพราะ พนักงานดักทางไว้
ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส... ยอมทนฟังต่อก็ได้


หลังจากฟังบรรยายเรื่องชาจบ เราก็มาต่อที่ร้านหยก
ฟังไปให้จบๆไป บรรยากาศร้านกว้าง รอบนี้มี
ลูกเจ้าของร้านมาบรรยายให้ฟัง แรกๆเหมือนไม่ค่อย
อยากขาย แต่พูดไปชายคนนี้ก็จิตวิทยาสูงเหมือนกัน
โดยทำทีเหมือนพูดไทยไม่เก่ง ใช้ภาษาออกห้วนๆ
ให้เราตลกจนตายใจ แต่ลึกๆนี่ ขายเก่งใช้ได้เลย
นอกจากนี้ราคาหยกที่นี่แพงกว่าเมืองไทย
แต่ใช้กลยุทธลดราคา จากหลักพันเหลือหลักร้อย
แถมบางชิ้นซื้อ 1 แถม 1 ด้วย ที่ขนาดพนักงานร้าน
ยังทำหน้าแปลกใจ ทำไมลดราคาให้ได้ขนาดนี้



หลังจากทำตามหน้าที่เสร็จ เราก็แวะกินมื้อเที่ยงกัน


สังเกตุมาหลายวัน อาหารที่นี่เน้นรสหวาน มัน เค็ม 
แต่ไม่มีรสเปรี้ยว พวกเนื้อสัตว์ มันจะค่อนข้างเยอะ
ถ้าเป็นน้ำซุปก็จะจืดไปเลย แต่นาทีนี้ก็ต้องกิน
กันตายให้ท้องอิ่ม เพราะ เดี๋ยวเราจะขึ้นไป
หุบเขาอวตารกัน


ซึ่งไม่ไกลจากโรงแรมที่พัก เดินไปประมาณ 10 นาที
ก็ถึงหน้าทางเข้า จากจุดนี้เราก็มีตรวจเช็ค
แสกนกระเป๋ากันปกติ 


หลังจากเดินเข้ามาด้านในสักพัก เราก็จะเจอลานกว้าง 
ต้องระวังให้ดี เพราะ มีแอบหลงไปคนละทาง
จากจุดนี้เลี้ยวซ้ายก็จะเจอลำธารแส้ม้าทอง
เมื่อเราข้ามลำธารมาแล้ว ถ้าเลี้ยวขวาตามผู้คนไป
มันจะไปเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 


หลังจากเดินๆไปแล้วยังไม่รู้สึกว่าขึ้นเขา แถมยัง
ไม่เห็นคณะทัวร์ที่มาด้วยกัน เริ่มรู้สึกแปลกๆ 
เลยเดินกลับไปทางเดิม สรุปเราเดินผิดทาง
มาคนละทิศกันเลย เกือบไปแล้วไหมละ
แต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์กับเส้นทางใหม่ๆ



ซึ่งจริงๆแล้ว เราต้องกลับไปยังจุดลานกว้าง แล้วเดิน
เยื้องมาทางขวาเพื่อขึ้นรถบัส ที่จะพาเราไปยัง
ลิฟท์แก้วไป่หลง  ลิฟท์แก้วสูงที่สุดในโลก
ถูกสร้างขึ้นบนผาขนาดใหญ่ในอุทยานจางเจียเจี้ย

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
จากจุดนี้ แนะนำว่าให้พยายามอยู่เป็นคนแรกๆของแถว
จะได้เห็นวิวชัดๆ โดยลิฟท์แก้วนี้ มีความสูง 330 เมตร
และใช้เวลาเพียง 1 นาทีก็ถึงยอดแล้ว


หลังออกจากลิฟท์มา ด้านซ้ายจะมีระเบียงไม้
ที่พอให้เราชมวิวงามๆแบบนี้ให้เห็น ซึ่งจุดนี้
เรายังต้องนั่งรถบัสต่อไปอีกนิด กว่าจะถึง
จุดหมายนี่ไม่ใช่ง่ายเลยนะ



จากจุดนี้เป็นระแนงไม้ทอดยาวพร้อมกับทัศนีย์ภาพ
ของขุนเขาน้อยใหญ่สองข้างทาง ซึ่งเป็นฉากหนึ่ง
ในหนังเรื่อง Avatar วิวที่นี่เหมือนได้อยู่ในโลก
ของเซียนเลยก็ว่าได้


ลิงที่นี่ตัวใหญ่มาก บางตัวก็ไม่กลัวคนนะ
อย่างตัวนี้นี่เดินบนราวมาแบบชิลๆเลย


มาช่วงนี้ ใบไม้บางส่วนเริ่มมีการเปลี่ยนสีบ้าง
แต่ไม่ทั้งหมด ถ้าต้นๆเดือน พ.ย. น่าจะมากกว่านี้





สะพานอันดับหนึ่งใต้ฟ้า อีกชื่อว่า เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว 
ลักษณะเหมือนสะพานเชื่อมต่อกันระหว่างเขาสองลูก
แต่เดิม ก็เป็นเขาลูกเดียวกัน แต่เกิดจากปรากฎการณ์
ธรรมชาติ ทำให้หินถล่มลงไปเฉพาะช่วงล่าง
จึงทำให้เกินเป็นเหมิือนสะพานดังที่เห็น
โดยสะพานนี้ถูกใช้ถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่อง 

และจากจุดนี้เป็นจุดที่ได้มีโอกาสครั้งแรกในชีวิต
กับการบินโดรน หลังจากพยายามเชื่อมต่อถึง 3 ครั้ง
โดยครั้งแรก สัญญาณดาวเทียมต่ำ ไม่สามารถบินได้
(ไม่ควรต่ำกว่า 8 ดวง)
อาจเพราะบริเวณดังกล่าวมีผู้คนมุงกันเยอะมาก
ครั้งที่ สอง ขึ้นให้ลงทะเบียนเบอร์โทร ซึ่งต้องใช้
เบอร์โทรของจีน และต้องใช้อินเตอร์เนต
ในการเชื่อมสัญญาณ ณ จุดนั้นสัญญาณคือ
ขึ้น E หรือไม่มีเลย


และครั้งที่สาม เราก็สามารถบินได้สักที  หลังจากมี
สัญญาณเนตในการลงทะเบียน ก็สามารถบินขึ้นฟ้า
ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ด้วยความไม่มั่นใจเลยยัง
ไม่กล้าบินไปไกลมากเท่าไหร่นัก

**ทริคสำหรับใครที่จะบินโดรน ควร calibrate
ก่อนทุกครั้งนะ โดรนจะได้ไม่หลงทิศ**

การมาทัวร์มีข้อเสียในเรื่องของเวลา ทำให้ไม่สามารถ
เก็บภาพได้นาน แค่กว่าจะเชื่อมต่อให้บินได้แต่ละที
ก็กินเวลาไปนานแล้ว แถมภาพที่ได้เป็นช่วงแดดร่มลมตก
แดดส่องมาฝั่งตรงบ้ามกับวิวด้านขุนเขา
เลยทำให้ภาพออกมามืดซะอีก T T


แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์การบินโดรนในต่างแดน
ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เอาไว้ครั้งหน้าจะทำให้ดีกว่านี้


หลังจากเดินทางชมวิวทิวทัศน์เสร็จ เราก็มากินปิ้งย่าง
เกาหลีกัน หลายๆคนใช้พลังงานไปเยอะ จึงทำให้มื้อนี้
กินกันเกลี้ยง แทบไม่เหลือต่างจากมื้ออื่น
รสชาติก็ยังคงเน้นความเค็มไว้ ส่วนน้ำจิ้มยังสู้บ้านเรา
ไม่ไหว ไม่แซ่บจริงๆ

ซึ่งหลังจากกินอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ก็ได้เวลา
กลับที่พัก ซึ่งจุดนี้ไกด์จะถามว่า มีใครต้องการเดิน
ถนนคนเดินไหม ทุกคนส่ายหน้า เพราะคาดว่า
วันนี้เดินกันเยอะจนเหนื่อย
เลยกลายเป็นว่า เหลือแค่ผมกับพ่อ 2 คน ที่ยังไหว 
มาเที่ยวทั้งที ก็ต้องไปให้ครบๆ กลับไปค่อยสลบ
ก็ยังไม่สาย เราจึงลงจากรถมาเดินถนนคนเดินกัน


ริมข้างทางจะมีอาหารเสียบไม้ให้เลือกมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ หมึก หรือเครื่องใน
ดูๆไปก็คล้ายๆ หม่าล่า บ้านเรา แต่ด้วย
ความที่คนที่นี่เค้าไม่พูดอังกฤษกัน
แถมเราก็ฟังจีนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้มันขายยังไง
ราคาเท่าไหร่ และยังอิ่มท้องอยู่เลยทำได้แค่มอง




หลังจากเดินริมถนนอยู่สักพัก ก็จะเจอ
Walking Street ของที่นี่ ใหญ่โตมาก



ของที่ขายด้านในก็มีแทบทุกสิ่งอย่าง
ส่วนใหญ่เน้นไปทางของกิน มีร้านค้า ผับ ร้านนั่งชิล
ระหว่างเดินได้ยินเพลงพี่ป้างในเวอร์ชั่นจีนด้วยนะ 


สะพานแขวนในยามค่ำคืน


เราใช้เวลาเดินที่นี่ประมาณ 1 ชมครึ่ง ก็คิดว่า
คงถึงแก่เวลาอันสมควร กลับโรงแรมนอนกันเถอะ
โดยนั่ง Taxi จากที่นี่ไปถึงที่พัก คาดว่าไม่เกิน 5 กม.
ราคา 10 หยวน

วันที่ 4 ช่วงเช้าเราเดินทางไปฟังบรรยายขายของต่อ
รอบนี้มาร้านขายที่นอนยางพารา ขอตัดตอนไปละกัน
เพราะไม่ใช่สาระสำคัญเท่าไหร่


หลังจากฟังบรรยายเสร็จเราก็แวะกินมื้อกลางวัน
คือ ชาบูเห็ด รสชาติเหมือน ต้มเห็ดหอม บ้านเรา
ช่วงบ่ายเราเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่
คือ เทียนเหมินซาน เพื่อชม "ประตูสวรรค์"
เราจะไปโดยการขึ้นกระเช้ากัน


จุดรอขึ้นกระเช้าก็จะมีตรวจกระเป๋าอีก จะว่าไปที่จีน
นี่ค่อนข้างเข้มงวดจริงๆ ซึ่งระหว่างรอต่อแถว
เราจะเห็นการปีนข้ามรั้วแซงคิว
 ดูจะเป็นเรื่องปกติของที่นี่
กว่าจะได้คิวขึ้นกระเช้านี่ก็นานเลยทีเดียว


หลังจากขึ้นกระเช้า เราก็เดินเลียบเขามา
เส้นทางน่าหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน




ขึ้นมาถึงด้านบน ขอบอกเลยว่าอากาศ หนาวมาก
น่าจะต่ำกว่า 15 องศา หมอกหนา แถมลมพัดแรง
โครงการที่จะเอาโดรนมาบินจุดนี้ เป็นต้องพับไป
ไอ้เราก็ไม่ได้เตรียมเสื้อหนาๆมา ขอบอกเลยว่า
สั่นหงิกๆตลอดทาง


บันไดนี้ ใครกล้าปีนบ้างไหมนะ


ทางเดินช่วงนี้จะเป็นกระจก ประมาณ 60 เมตร
ใครใจไม่ถึงอย่าได้มาลอง ทางที่นี่ดูน่ากลัว
กว่าสะพานแก้วซะอีก


ประตูสวรรค์จากมุมด้านบน สวยงามจริงๆ




สูงไม่เท่าไหร่ แค่ 1400 เมตรจากระดับน้ำทะเล
หล่นไปก็บ๊ายบาย


ทางลงที่นี่ น่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะที่นี่เขาเจาะเขา
ทำบันไดเลื่อนในอุโมงค์กันเลย ซึ่งกว่าจะถึง
ข้างล่างต้องลงบันไดเลื่อนวนไปประมาณ 5 รอบได้



เมื่อมาถึงด้านล่าง คนเยอะมากจริงๆ ทำให้
ไม่มีมุมถ่ายสวยๆเลยสักที แถมเวลานี้ก็เย็นแล้ว
แสงน้อยลงจนเกือบจะมืด และยังต้องรีบขึ้นรถบัส
ให้ทัน เลยจำใจถ่ายมาได้พอประมาณ
กลับลงเมืองข้างล่างกัน


หากแต่ขากลับ เราไม่ได้นั่งกระเช้าเหมือนเดิม
แต่จะไปสัมผัสถึงความมันส์กันแบบสุดๆ
ด้วยการนั่งรถบัส ผ่าน 99 โค้งสุดระทึก
ซึ่งดูแล้วก็น่าหวาดเสียวไม่ใช่เล่น

จุดนี้แนะนำว่าให้กินยาแก้เมารถกันไว้ก่อน
เพราะ เส้นทางนี้จะโคลงเคลงสุดๆ
เหมือนนั่งรถไฟเหาะ ด้วยทางโค้งหักศอก
แทบจะตลอดเส้น แถมเลนยังแคบสุดๆ
ทำให้การนั่งรถครั้งนี้แทบจะหยุดหายใจ
มือต้องจับราวที่พนักพิงด้านหน้าตลอด
นั่งกันตัวเกร็งสุดๆ คนขับต้องมีอาชีพดริฟท์รถ
มาก่อนแน่ๆ


หลังจากลงจากประตูสวรรค์ ก็มาชมการแสดงโชว์กัน
เรียกว่า โชว์นางพญาจิ้งจอกขาว
The Love Story of a Woodenman and a Fairy Fox


โชว์นี้เป็นโชว์กลางแจ้ง ซึ่งบรรยากาศในช่วงนั้น
ดูฟ้าครึ้มๆ ซึ่งทางผู้จัดก็มีการแจกเสื้อกันฝนให้ฟรี
ซึ่งการแสดงนี้จะไม่หยุดแม้ว่าฝนจะตก
ถือว่าทุ่มเทกันจริงๆ


เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความรักของนางพญาจิ้งจอกขาว
ที่มีต่อชายผู้เป็นที่รัก ต้องพลัดพรากจากกัน
ทั้งที่ยังรักกัน ทั้งสองฝ่ายต่างถูกกีดกันจากฝั่งมนุษย์
และฝั่งจิ้งจอก จนเวลาผ่านล่วงไปนาน สวรรค์เห็นใจ
จึงบันดาลให้ทั้งคู่ได้เจอและลงเอยกันด้วยดี

พร็อตเรื่องก็จะประมาณนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจ
คือ ฉากที่มีกลไกซ่อนอยู่ แสง สี เสียง น้ำพุ น้ำตก
หน้าผา ที่สามารถขยับได้ ช่วยเพิ่มสีสันให้การแสดง
และฉากหลังที่เปิดกว้าง ความอลังการงานสร้าง
ของเวทีนั่นเอง

อ่านทริปวันที่ 1-2 กดลิ้งนี้ต่อ
http://freemansrider.blogspot.com/2017/10/day-1-2.html
อ่านทริปวันที่ 3-4 กดลิ้งนี้ต่อ
http://freemansrider.blogspot.com/2017/10/day-3-4.html
อ่านทริปวันที่ 5-6 กดลิ้งนี้ต่อ
http://freemansrider.blogspot.com/2017/10/day-5-6.html

ความคิดเห็น