China Trip Day 1-2 เดินทางสู่ฉางซา พามาชมละครฉากใหญ่ ไปวัดใจที่สะพานแก้ว


หลังจากกลับจากทริปขึ้นเหนือได้สักพัก ก็มีโทรศัพท์
จากคุณพ่อชวนไปเที่ยว ซึ่งครั้งนี้ได้มีโอกาสไปเยือน
สถานที่ชื่อดังที่เคยเป็นที่ถ่ายทำของหนังดังระดับโลก
นั่นคือ อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย มณฑลหูหนาน
ประเทศจีน ซึ่งถือเป็น เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ
แห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี 1992

ทริปนี้ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 6 วัน 5 คืน (19-24 ต.ค.)
ฉางซา - จางเจี่ยเจี้ย - หุบเขาอวตาร - ประตูสวรรค์
โดยเดินทางไปกับบริษัททัวร์ ดังนั้นเรื่อง Visa
การเดินทาง อาหารและที่พัก จึงมีการจัดเตรียมไว้
ครบหมดแล้ว จุดนี้ต้องขออภัย คงแนะนำอะไรไม่ได้
(ค่าทัวร์ราวๆ 16,000 บาท + ค่าไกด์ 1,500 บาท
รวม 17,500 บาท)


============ การใช้อินเตอร์เนต ============
เนื่องจากที่จีนไม่สามารถเล่น Social Media ต่างๆ
 อย่าง Facebook , Line , Twitter , Google ได้
แต่จะมีซิมท่องเที่ยวอยู่ตัวนึง ที่สามารถใช้งานได้
จากที่ลองใช้งานมา สามารถเล่นได้จริง
แต่สัญญาณไม่ค่อยมี ใช้งานได้ดีเฉพาะในเขตตัวเมือง
ยิ่งถ้าออกนอกเมืองไปไกลๆ ส่วนใหญ่จะขึ้นตัว E หรือ
ไม่มีสัญญาณเลยซะมากกว่า


============ การแลกเงิน ============
อัตราแลกเปลี่ยน จะอยู่ที่ 1 หยวน = 5.01 บาท
(เรท ณ วันที่ 17/10/60)
ซึ่งสามารถเดินทางไปแลกได้ที่ Super Rich Thailand
ลองดูสาขาไหนใกล้บ้าน ก็เดินทางไปแลกได้เลย
ส่วนจะแลกไปเท่าไหร่  ถ้าไม่ค่อยใช้อะไรก็สัก 
แนะนำแลกไปสัก 10,000 บาท (2,000 หยวน) 
ก็น่าจะพอใช้แบบเหลือๆนะ


============ สภาพอากาศ ============
เนื่องด้วยช่วงที่เดินทางอยู่ในช่วงปลายเดือน 
อุณหภูมิจะอยู่ราวๆ 15- 22 องศา โดยจะหนาว
ในช่วงเช้าและดึกๆ ส่วนช่วงกลางวันจะเย็นสบายๆ
ไม่หนาวมาก  17-22 องศา ควรเตรียมเสื้อกันหนาว
ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายตัวเองที่สุดครับ


============ วันแรก ============
เดินทางโดยสายการบิน Air Asia ใช้ระยะเวลา 4 ชม.
เราก็มาถึงฉางซา เมืองหลวงของมณฑลหูหนาน
จากจุดนี้เรานั่งรถไปทานข้าวกลางวันในตัวเมืองก่อน


มื้อแรกที่นี่ รสชาติอาหารพอไหว แต่ไม่ถึงกับอร่อย
ส่วนใหญ่แค่พอกินได้ รสชาติจะออกไปในทางเค็มๆ
ถ้าเป็นน้ำซุปก็จะออกจืดจาง ไม่ค่อยเข้มข้น



หลังจากกินอิ่ม ก็แว่บออกมาเดินสำรวจทาง
 เห็นมินิมาร์ทอยู่ข้างๆ เลยขอตรวจราคาสินค้าหน่อย
โดยพวกน้ำดื่มและขนมขบเคี้ยว จะอยู่ที่ราวๆ 4-6 ¥ 
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประมาณ 2.5-3 หยวน (แบบซอง) 
และ 6-8 หยวน (แบบถ้วย) ส่วนพวกข้าวของเครื่องใช้ 
ราคาก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเรามาก 
(หลักการคิด เอาเงินหยวน คูณด้วย 5 = เงินบาท)
แน่นอนว่า ภารกิจประจำ คือการหาซื้อน้ำแปลกๆดื่ม
ซึ่งก็ได้มา 2 ขวด 


ซ้าย คือ น้ำเกลือแร่ รสชาติเหมือนเครื่องดื่มชูกำลัง 
แต่จะไม่หวานมาก ออกบางๆ ถือว่าอร่อยดีให้ผ่าน
ขวา คือ น้ำสาลี่ รสชาติเหมือนสาลี่เลย 
แต่หวานกำลังดี ดิ่มแล้วชุ่มคอ 


จากนั้นเราจึงนั่งรถต่ออีกราวๆ 4 ชม. เพื่อเดินทางเข้าสู่
เมืองอู่หลิงหยวน ซึ่งระหว่างนี้ ก็แวะกินมื้อเย็นกันอีกที


ซึ่งรสชาติก็ยังคงมาแนวๆเดิม แนวผัดจะออกเค็มๆ 
ส่วนแกงจะจืดๆ  ที่เด็ดสุดมื้อนี้น่าจะเป็นปลานึ่งซีอิ๊ว 
ไม่รู้ว่าเป็นปลาอะไร แต่ถือว่าอร่อยสุดเท่าที่กินมา
ติดอยู่อย่างเดียว คือ ก้างปลาเยอะ กินยากไปหน่อย

จากนั้นก็ขึ้นรถไปยังที่พัก อีก 2 ชม. โดยเราจะพัก
ที่นี่กัน 3 คืน  ณ โรงแรม WulingYuan Hotel
วันแรกไม่ได้เที่ยวไหน มีแต่เรื่องกินอย่างเดียวเลย


============ วันที่สอง ============
วันนี้เราเดินทางไปชมละครฉากใหญ่ เชื่อว่าถ้าใคร
ที่เคยมาจีนแล้วก็คงเข้าใจ กับการโดนพามาฟัง
บรรยายสรรพคุณสินค้าต่างๆ รอบนี้โดนพามา
ร้านขายยาบำรุงของจีน


เมื่อเริ่มเข้ามาภายในร้าน พนักงานก็จะพาไปรับรอง
 ณ ห้องบรรยาย บรรยากาศเหมือนเข้าไปฟังขายตรง

สักพักก็จะมีผู้บรรยายชาวจีน ที่สามารถพูดไทยได้
มาอธิบายสรรพคุณต่างๆ เมื่อฟังบรรยายได้สักพัก
ระหว่างนั้นจะมีเหล่าลุงป้าเดินเข้ามาพร้อมกับ
กาละมังใบใหญ่ ที่ใส่น้ำร้อนเดือดปุๆ (ย้ำว่าเดือดปุๆ)

มาให้เราแช่ขากัน  ในระหว่างที่เรากำลังนั่งฟัง 
ลุงป้าเหล่านั้นก็จะมานวดขาเราไปพลางๆ
พร้อมกับแนะนำสินค้าแบบ Hard Sale สุดๆ 

สักพักผู้บรรยายก็จะแนะนำ หมอที่ใช้กำลังภายใน
โดยให้จะมองผ่านฝ่ามือ ก็บอกได้ว่าเป็นโรคอะไร
(ขนาดมองไกลๆ 3-4 เมตร ยังเห็น ตาดี๊ดี)
ถ้าใครที่เข้าข่ายน่าสงสัย ก็จะโดนตรวจถึงที่ 
วิธีการคือใช้ฝ่ามืออังๆบริเวณ แขน ขา หลัง ท้อง 
พร้อมกับเปล่งเสียงดัง เหมือนใช้กำลังภายใน

ความรู้สึกคือ จะรู้สึกจี๊ดๆ เหมือนมีไฟมาช๊อตเบาๆ
ทำอยู่ราวๆ 3-4 ครั้ง เมื่อเสร็จแล้ว ก็จะเสนอ
ขายยาเพื่อสุขภาพ ในราคาที่แพงหูฉี่
(ระหว่างหมอตรวจ ก็จะมีล่ามคอยแปลไทยให้อีกที
ขนาดบอกไม่มีตัง บอกให้ยืมเงินคนอื่นมาซื้อ)
ใครปฎิเสธไม่เป็นนี่หลุดพ้นไปได้ยากมาก

หลังจากโดนตื้อมานาน รีบอาศัยช่วงจังหวะนี้
อ้างว่าไปห้องน้ำแล้วหลบออกมา 
ซึ่งนี่แค่ประเดิม เพราะต่อไปเราจะเจออีกหลายร้าน

สำหรับผู้ที่สงสัย ว่าทำไมต้องโดนพามาร้านเหล่านี้ 
ปกติถ้าจะมาเที่ยวเอง ราคาจะแพงมาก 
ซึ่งร้านเหล่านี้จะมีการแบ่งเปอร์เซ็นต์กันเพื่อช่วย
ค่าใช้จ่าย แต่ต้องแลกกับการมาที่ร้าน
ซึ่งร้านก็ไม่บังคับซื้อ แต่จะตื้อจนกว่าจะใจอ่อน
ใครไม่สตรองพอก็แพ้ไปนะฮะ...


หลังจากรอดจากขายยา เราก็มาที่ร้านเล็กๆร้านนึง
มาชมหนังตะลุงของจีนกัน ดูๆไปก็ไม่ต่างอะไรกับ
หนังตะลุงบ้านเรา เปลี่ยนแค่ลักษณะของตัวละคร
แต่ด้วยความที่ไม่เข้าใจภาษา ทำให้ดูจนจบ
ก็ยังไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง จุดนี้เราเสียเวลา
ไปประมาณ 30 นาที 



หลังจากดูหนังตะลุงแบบงงๆเสร็จ 
ก็พาไปฟังขายของต่อ คราวนี้มากันที่ ร้านผ้าไหม
ซึ่งก็มาแนวเดิม คือเชิญเราชมบรรยากาศภายในร้าน
ก็พามานั่งฟังบรรยายเช่นเคย นั่งฟังได้สักพักใหญ่ 
ขอไปเข้าห้องน้ำ แล้วออกมาดูบรรยากาศภายนอก
พร้อมกับถ่ายรูปเล่นดีกว่า






สามแยกที่นี่กว้าง รถราค่อนข้างเยอะ แตรบีบกันปกติ 
แต่ที่แปลกคือ ถ้ามีรถเข้าแล้วใครจอดขวางทาง
ก็ขยับให้แค่พอเข้าได้แบบเบียดๆ  แล้วก็ก้มหน้า
เล่นมือถือต่อ เฉยๆ ไม่สนใจ หลบให้แล้วเข้าได้ก็เข้า


ที่น่าสนใจคือ มอเตอร์ไซค์ที่นี่ จะมี Acessory แปลกๆ
ให้เห็นอย่างเช่นในรูป เป็นร่มติดมอเตอร์ไซค์
ซึ่งเห็นกันบ่อยมาก เท่าที่ดูก็ใช้งานได้จริง 
แต่คนที่นี่ขับกันไม่เร็วนะ เพราะกฎหมายที่นี่จำกัด
ความเร็วในเมืองแค่ 40 กม./ชม.


แผ่นกันลมดูเป็นสิ่งจำเป็น เพราะ อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น


สำหรับที่นี่ จะใช้ได้เฉพาะมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเท่านั้น 
ไม่อนุญาติให้นำมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันเข้าตัวเมือง
โดยเด็ดขาด แต่ตามนอกเมือง ก็ยังมีแบบน้ำมัน
ให้เห็นอยู่บ้างนะ


ในส่วนของการชาจน์ไฟ ก็อย่างที่เห็นในภาพ
สามารถต่อชาจน์ไฟบ้านได้เลย สำหรับราคา
มอเตอร์ไซค์ที่นี่ จากที่ถามมาเห็นว่าราคาไม่แพง 
อยู่ประมาณหลักหมื่นต้นๆเท่านั้น
แต่ที่ราคาแพงน่าจะเป็นแบตเตอรรี่
เห็นว่าเกือบครึ่งของราคารถเลย


หลังจากรอดจากขายผ้าไหมและยา เราก็มาทาน
อาหารกลางวันกัน ซึ่งจากร้านที่ผ่านๆมา
ถือว่ายังไม่เข้าตาเท่าไหร่นัก โดยร้านนี้ทางไกด์
บอกมาว่าเป็นร้านอาหารไทย กุ๊กก็คนไทย


แต่หลังจากชิมมาแล้ว ก็ยังไม่โดนใจเท่าไหร่
อาจด้วยการปรับแต่งรสชาติให้เหมาะสมกับผู้คนที่นี่
วัตถุดิบที่แตกต่าง ทำให้รสชาติไม่แซ่บเท่าบ้านเรา


หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็มาทานอาหารตากันบ้างที่
จวินเซิงฮาเยี้ยน พิพิธภัณฑ์แสดง ภาพวาดเม็ดทราย
โดย ลี่จวินเซิง เป็นผู้ริเริ่มศิลปะแบบสมัยใหม่
ที่เรียกว่า จิตรกรรม ซึ่งจะใช้วัสดุจากธรรมชาติ
เช่น กรวดสี เม็ดทรายย กิ่งไม้ หิน ฯลฯ
มาจัดแต่งเป็นภาพทิวทัศน์ ถือเป็นงานจิตรกรรม
ที่รังสรรค์ขึ้นมาและได้รับการเลื่องลือไปทั่วโลก





ซูมให้เห็นชัดๆ กว่าจะทำเสร็จสักรูปนี่ไม่ได้ง่ายเลย 


หลังจากชมภาพวาดเสร็จ ติดๆกันกับพิพิธภัณฑ์
มีเหมือนเป็น Avenue เล็กๆของที่นี่ เป็นลานกว้างๆ
มีเมืองดูเป็นเอกลักษณ์ เหมือนฉากไว้ถ่ายหนัง
บางส่วนก็ยังสร้างอยู่ เราเดินเล่นกันสักพัก จากนั้น
ก็กลับออกไปเดินทางต่อ



จากนั้นก็ถึงเวลาที่เรารอคอย กับการเดินทางไป
แลนด์มาร์คแรกในจางเจียเจี้ย "สะพานแก้ว"
สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ที่ถือว่าเป็นสะพานแก้ว
ข้ามเขาที่ยาวที่สุดในโลก


ซึ่งการจะเข้าชมที่นี่ บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ต้องต่อคิวที่ยาวเยียดถึง 5 รอบ ด้วยกัน ก็คือ 
จะแบ่งเป็น 5 โซน จังหวะที่ปล่อยโซนแรก
ผู้คนก็จะวิ่งกันอลหม่าน เพื่อไปต่อแถวโซนที่สอง
ทำแบบนี้วนไปจนโซนที่ 5 คาดว่าวันนึงน่าจะ
มีคนเข้าชมเป็นหมื่นคน 

ช่วงนี้ใช้เวลาต่อคิวน่าจะเกือบๆ 2 ชม. 
และที่นี่ห้ามไม่ให้นำกล้องถ่ายรูปเข้าไป 
จะเล็กจะใหญ่ ก็ห้ามเอาเข้า และกระเป๋า
ใบใหญ่ก็เข้าไม่ได้ แต่ให้พกมือถือมีกล้องได้นะ
(ขึ้นอยู่กับอารมณ์คนตรวจ ขนาดพกกล้องตัวเล็ก
กว่ามือถือ ยังโดนจับ แถมคุยกับมันไม่รู้เรื่อง
ฝากก็ไม่ได้ จะไล่ให้เอาไปเก็บที่รถอย่างเดียว )


แบบจำลองของสะพานแก้ว 
และหลังจากต่อคิวมาอย่างยาวนา เราก็มาถึง
ปลายทางของจุดหมายที่นี่

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ด้วยความยาวถึง 430 เมตร กว้าง 6 เมตร สูง 300 เมตร
โดยพื้นสะพานจะสร้างด้วยกระจกคริสตัล 
ทำให้สามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้ ถามว่า 
น่าหวาดเสียวไหม ส่วนตัวคิดว่าไม่เท่าไหร่ 
เพราะกระจกมันไม่ได้ใสขนาดนั้น 
มีเงาสะท้อนบ้าง เลยทำให้ดูมัวๆ
ถ้าไม่ตั้งใจจ้องจริงๆ ก็ดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก


ด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ 
ทำให้มีคนหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวที่นี่กันเยอะมากๆ
การรอคิวที่ยาวนานและเจอมารยาทของผู้คนที่นี่ 
ทำให้เรารู้สึกหมดสนุกไปกับการเที่ยวตั้งแต่ต้นๆ

จากภาพคงไม่ต้องบอกว่าถ่ายมุมไหนก็ติดคน
 และคิดว่าคงมารอบเดียวในชีวิตพอ

ถ่ายมุมด้านล่าง ผ่านกระจก ให้เห็นถึงความสูง
เราใช้เวลาอยู่ที่สะพานแก้วไม่นานนัก 
จากนั้นเราจึงเดินทางมาทานมื้อเย็นกัน


มื้อนี้ที่ดูดีเข้าท่า เห็นจะมีเป็นไก่เสียบไม้อย่างเดียว
นอกนั้นธรรมดาๆไปหน่อย 

วันนี้ก็ถือว่า ได้มาเที่ยวจริงๆจังๆสักที 
แต่ที่เบื่อๆคงเป็นช่วงต่อแถวรอคิวเข้าสะพานนี่แหละ
เจอทั้งการแซงคิว ปีนรั้วกั้น ยืนเบียด นั่งบนราวกั้น
แล้วเบียดเราแบบไม่สนใจ ตะโกนเสียงดังโหวกเหวก
โวยวาย ขากถุยน้ำลายนี่เจอหมด
ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจะหาได้ยาก
ถ้าไม่ได้มาเจอกับตัวจริงๆที่นี่

ซึ่งวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นก็ต่างกันไป 
อย่างในโรงแรมหรือลิฟท์ ก็ยังมีสูบบุหรี่กันเฉย 
บ้านเมืองดูเจริญ แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยเดิมมากนัก
เท่าที่สังเกตุ พฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นในช่วง
วัยกลางคนขึ้นไป วัยรุ่นยังไม่ค่อยพบเห็น

จากตรงจุดนี้ ถามไกด์มาว่า
เมื่อยุคสมัยประธานเหมา ได้มีการสั่งสังหารหมู่เหล่า
ประชาชนที่มีความรู้ โดยเหลือไว้แต่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือ
เพื่อที่จะสามารถควบคุมได้ง่าย จึงกลายเป็นว่า
การกระทำสิ่งต่างๆที่เราเห็นว่า ไม่เหมาะสม
ไม่ใช่ว่าเค้าเหล่านั้นตั้งใจทำ หากแต่มันคือพฤติกรรม
ทำต่อๆกันมาจากสมัยเก่า เมื่อประชาชนไม่รู้หนังสือ
ก็ไม่มีคนมาคอยสั่งสอน จึงทำให้เรายังคงเห็น
พฤติกรรม เหล่านี้ตกทอดมาถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน วัยรุ่นยุคใหม่ๆ จะไม่ค่อยเห็นพฤติกรรม
เหล่านี้เท่าไหร่ ซึ่งเชื่อว่าในยุคของคนรุ่นต่อๆไป
น่าจะทำได้ดีขึ้น

อ่านทริปวันที่ 1-2 กดลิ้งนี้ต่อ
http://freemansrider.blogspot.com/2017/10/day-1-2.html
อ่านทริปวันที่ 3-4 กดลิ้งนี้ต่อ
http://freemansrider.blogspot.com/2017/10/day-3-4.html
อ่านทริปวันที่ 5-6 กดลิ้งนี้ต่อ
http://freemansrider.blogspot.com/2017/10/day-5-6.html

ความคิดเห็น