แวะหามื้อเช้ากินที่นี่ หน้าตาดูดี แต่รสชาติ.... ออกขมไปหน่อย
หลังจากกินมื้อเช้ากันแล้ว สรุปได้ว่าเดี๋ยวจะขึ้นถ้ำปูคำก่อน แล้วค่อยกลับมาเล่นน้ำจะดีกว่า
เดินไม่ไกลครับระหว่างทาง มีคนแก่ชาวเกาหลีเดินขึ้นกันเยอะ
ได้ศักการะพระนอนในถ้ำ องค์นี้ถือว่าเป็นองค์ใหม่ เพราะตามข่าวเห็นว่าองค์แรกโดนชาวต่างชาติยกลงเหว ปัจจุบันได้มีการนำองค์ใหม่เข้ามาวางแทนที่แล้ว ถือว่าโชคดีที่รอบนี้มาได้เจอ
แล้วก็ได้เวลาลงเล่นน้ำสักที โดยต้นไม้ที่นี่จะมี 2 ระดับให้กระโดดลง
ชั้นล่าง จะไม่สูงมากเท่าไร โดดแบบไม่ต้องทำใจได้เลย ถือว่าเป็นการวอร์มก่อนเข้าสู่ชั้นบน
ชั้นบน ยอมรับเลยว่ามันสูงมาก เทียบได้ก็ประมาณ 2 ชั้นครึ่ง มีหลายคนขึ้นไปได้แต่ยืนทำใจอยู่
ส่วนตัวเองก็ทำใจอยู่นานประมาณ 2 นาที กว่าจะกล้ากระโดดลงมา มาถึงที่ทั้งที ไม่โดดได้ไง!
เล่นน้ำจนอิ่ม ก็มาวิ่งหาที่พักก่อน มาเจอห้องนี้ในราคา 100,000 กีบ (500 บาท) ติดริมน้ำด้วย
มี Wifi ฟรี เก็บของเรียบร้อย ช่วงบ่ายเราก็ออกแว๊นกันต่อ โดยจุดหมายต่อไปคือ ผาตั้ง
มี Wifi ฟรี เก็บของเรียบร้อย ช่วงบ่ายเราก็ออกแว๊นกันต่อ โดยจุดหมายต่อไปคือ ผาตั้ง
ระหว่างทางเราได้เจอไบค์เกอร์ท่านนึงเดินทางไกลมาจากแดนมังกรกันเลย ชื่อคุณ เสี่ยวเหยา
(ถ้าออกเสียงผิดขออภัย) ได้ความว่า ขับมาจากเมืองจีนกำลังเดินทางไปหลวงพระบาง
หลังคุยทักทายเสร็จก็แยกย้ายไปต่ออวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ
ระหว่างทาง เจอที่ไหนวิวดีๆ ก็พักขี่แวะจอดถ่ายรูป แช่น้ำเย็นๆให้คลายเหนื่อย โอ้ว~ฟิน
แวะกินข้าวร้านเดิมนี่แหละ รสชาติดี ปริมาณคุ้ม อิ่มจุง หลังจากนั้นแวะเข้าที่พัก เนื่องจาก พายุเข้า
ลมพัดของปลิวกันกระจาย ที่หมายมั่นไว้คืนนี้ ซากุระบาร์ มีแววจะอดซะแล้ว
หลังจากพายุสงบลง ประมาน 5 ทุ่ม เราก็ลงไปแวะดูซะหน่อย "ซากุระบาร์"
ที่นี่จะเจอแต่ชาวต่างชาติ ฝรั่ง เกาหลี นี่เพียบ! หลังจากสอดส่องสายตา คืนนี้อาหารตาอิ่มแล้ว
สักพักท้องก็เริ่มหิวอีกจึงเริ่มมองหามื้่อดึกไปเจอกับสิ่งนี้ "ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว" จัดไปคนละชุดใหญ่
ติ่มซำเพิ่มไปอีกชุด คืนนี้ถือว่าโอเคร กินอิ่ม นอนหลับ ได้พักเต็มที่
ตื่นเช้ามาหน้าที่พัก มีตลาดสดชาวบ้านอยู่ แวะเดินชมสักหน่อย
ส่วนใหญ่ที่นี่ขายพืชผักผลไม้ และสมุนไพร ของป่า แต่ยังหาของแปลกที่ร่ำลือไม่เจอ แอบเสียดายนิดนึง ถือว่าได้มาเยี่ยมวิถีชุมชน ดูผู้คนว่าเค้าอยู่กันอย่างไร
หลังเดินเสร็จ ก็แวะหาของมื้อเช้า แล้วเราก็ได้มาเจอเมนูที่ชื่อว่า "เฝอ" เส้นจะคล้ายๆเส้นเล็กบ้านเรา
มะเขือ ต้นหอม ผักชี ทั้งหมู ทั้งเนื้อ นี่จัดเต็ม แถมราคาก็ไม่แพง น้ำซุปรสชาตกลมกล่อมใช้ได้ แถมได้ชามใหญ่ ขนาดที่ว่าผมกินจุแล้วนะยังแน่นท้องเลย ชามนี้ถือว่าสอบผ่าน ลงตัวที่สุดตั้งแต่กินมา
ก่อนกลับ ก็แวะวัดวาอาราม สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง |
จากนั้นเดินวิ่งกลับไทย มีเรื่องน่าแปลกใจตรงทางกลับ แม้จะเป็นทางเดียวกัน แต่เวลาผ่านไป 2 วัน
ทางก็ไม่เหมือนกันแล้วระหว่างทางจะเจอการทำถนนอยู่เป็นระยะๆบางช่วงมีน้ำมันเคลือบถนน
ต้องอาศัยความระมัดระวังอย่างมาก แล้วก็มาถึงจุดหมายสุดท้าย สำหรับวันนี้ Landmark ของ
จากนั้นแวะถ่ายรูปอีกที่ วัดธาตุหลวง ท่ามกลางแดดร้อนระอุบวกกับเวลาในการเดินทาง
ที่ต้องรีบไปให้ทันก่อนด่านจะปิด ทำให้เราไม่อาจเข้าไปชมภายในได้ แอบเสียดายอยู่หน่อย T^T
หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับเข้าไทย ครั้งนี้เราได้สอบถามเจ้าที่ๆด่านของลาวได้ความว่า
50cc.ก็มาได้ถ้าเอกสารครบ ถ้ามาเที่ยวไม่มีปัญหา มานะ อยากให้มาไปเอามาจากไหนว่ามาไม่ได้
ขี่ต๊อกๆๆข้ามกลับมาบอกศุลกากรฝั่งไทยว่าพี่ศุลกากรลาวเขาว่าแบบนั้นแน่ะ....
พี่ศุลกากรไทยส่ายหัว...บอก...อย่าไปเชื่อ เอาแน่ไม่ได้ เดี๋ยวให้เข้า เดี๋ยวไม่ให้เข้า(หมายถึงเครื่องไม่ถึง250cc.นะ) แต่พี่ศุลกากรไทยยังยืนยันคำเดิมว่าพี่ให้ข้ามไปนะไปวัดดวงกับฝั่งนู้นเอง
ถ้าไม่ได้ก็ข้ามกลับมานะ เอวังด้วยประการฉะนี้
จบทริปเรียบร้อย สำหรับใครที่อยากขี่มอไซค์มาเที่ยว แนะนำมาช่วงอากาศเย็นๆน่าจะดีกว่า เพราะ
ถ้ามาช่วงร้อนๆ อาจมีอาการเพลียแดดได้ (ช่วงที่มาประมาน 38-40 องศา) ต้องจอดแวะพักเป็นระยะ
ส่วนถนนที่นี่ ถ้าในตัวเมืองก็สบายๆ ที่นี่วิ่งขวาไม่เหมือนบ้านเรา และต้องระวังคนขับที่เป็น
มนุษย์ลุง มนุษย์ป้า เพราะบางทีเลี้ยวตัดหน้า ไม่เปิดไฟเลี้ยว ไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลย
ส่วนทางระหว่างจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นทางลูกรัง มีทำถนนเป็นระยะๆ ทำความเร็วมากไม่ได้แน่ๆ
ส่วนค่าใช้จ่ายหนักๆในทริปนี้ เห็นจะเป็นพวกน้ำนี่แหละ ที่นี่ราคาราวๆ 5,000 - 7,000 กีบ
(ราวๆ 25-35 บาท) แพงกว่าเมืองไทยประมาณ 2 เท่า
ก็ถือว่าเป็นทริปสำคัญ สำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศครั้งแรกของผม
ถ้ามีโอกาสมาอีกครั้ง ก็ยืนยันว่ามาอีกแน่นอนครับ^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น